ภาษาที่ใช้คือภาษาไต (傣语Dǎi yǔ) จัดอยู่ในตระกูลภาษาจีน-ทิเบต (汉藏语系 Hàn Zànɡ yǔxì) สาขาภาษาจ้วง-ต้ง (壮侗语族Zhuànɡ Dònɡ yǔzú) แขนงภาษาจ้วง-ไต (壮傣语支Zhuànɡ Dǎi yǔzhī) ชนเผ่าไตมีอักขระอักษร แต่ภาษาไตที่ชนเผ่าไตใช้มีความแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น อักขระภาษาไตมีการปรับปรุงใหม่ในปี 50 ของศตวรรษที่ 20
คนไทหรือคนไตมีชื่อเรียกตัวเองหลายชื่อ เช่น ไต่เล่อ (傣仂Dǎilè) ไต๋หย่า (傣雅Dǎiyǎ) ไต่น่า (傣那 Dǎinà) ไต่เปิง(傣绷Dǎibēnɡ) ในสมัยฮั่นและจิ้นเรียกชนกลุ่มนี้ว่าเตียนเยว่ (滇越Diānyuè) ต่าน (掸Dǎn) ซ่าน (擅Shàn) เหลียว (僚Liáo) และจิวเหลียว (鸠僚Jiūliáo) ในสมัยถังและซ่งเรียกชนกลุ่มนี้ว่าจินฉื่อ (金齿Jīnchǐ[1]) เฮยฉื่อ (黑齿Hēi chǐ) หมางหมาน(茫蛮Mánɡmán) ป๋ายอี(白衣Bái yī) ชื่อป๋ายอีนี้บางตำราเขียนด้วยตัวอักษรต่างๆกัน ออกเสียงต่างกันเล็กน้อย เช่น ป่ายอี๋(百夷Bǎiyí) ป๋ายอี๋(白夷Báiyí)โป๋อี๋ (伯夷Bóyí)จนถึงสมัยราชวงศ์ชิงเรียกชนกลุ่มนี้ว่า ป่ายอี๋(摆夷Bǎiyí) ภายหลังการปฏิวัติวัฒนธรรม รัฐบาลจีนเรียกชื่อชนเผ่าไตตามความสมัครใจของชนเผ่าว่า ไต่จู๋ (傣族DǎiZú) ซึ่ง หมายถึงชนเผ่าไตนั่นเอง
ชนเผ่าไตในดินแดนจีนนี้มีประวัติศาสตร์ความเป็นมายาวนานมาก พงศาวดารจีนที่มีบันทึกถึงชนเผ่าไตเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ในปี ค.ศ. 109 จักรพรรดิฮั่นอู่ตี้บุกเบิกพื้นที่ทางตะวันตกเฉียงใต้ และสร้างเมืองอี้โจว(益州Yìzhōu)ขึ้นในบริเวณที่ชาวไตตั้งถิ่นฐานอยู่ คือ บริเวณชายแดนทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองอี้โจว จนถึงศตวรรษที่ 6 ได้สร้างเมืองหย่งชาง(永昌Yǒnɡchānɡ) พื้นที่อาศัยของชนเผ่าไตจัดอยู่ในเขตการปกครองของเมืองหย่งชางนี้เอง ในเวลานั้นบรรพบุรุษชาวไตได้ส่งคณะทูตและคณะนักดนตรีนักแสดงเพื่อแสดงถวายแด่จักรพรรดิของราชวงศ์ตงฮั่นที่เมืองหลวงลั่วหยาง และได้รับการยอมรับและการโปรดปรานของจักรพรรดิราชวงศ์ตงฮั่นเป็นอย่างมาก จนได้รับพระราชทานรางวัลมากมาย ที่สำคัญหัวหน้าที่นำคณะชาวไตมานั้นได้รับเชิญให้อยู่รับราชการเป็นนายพลของราชวงศ์ฮั่นอีกด้วย ชนเผ่าไตและราชสำนักฮั่นจึงมีสัมพันธ์อันดีต่อกันนับแต่นั้นเรื่อยมา
กระทั่งคริสต์ศตวรรษที่ 8 ถึง คริสต์ศตวรรษที่ 13 ชนเผ่าไตรวมทั้งชนชาติใกล้เคียงได้แก่ เผ่าอี๋ (彝族Yí Zú) เผ่าป๋าย (白族Bái Zú) ก่อตั้งเป็นเขตการปกครองขึ้นที่ยูนนานน่านเจ้า (云南南诏Yúnnán Nánzhào) ในสมัยหยวนพื้นที่ชนเผ่าไตอยู่ในเขตการปกครองของมณฑลยูนนาน ในสมัยนั้นมีกฎการถือครองที่ดิน และมีการจัดตั้งชุมชนใหม่ขึ้นหลายแห่ง ที่สำคัญได้แก่ เมืองเต๋อหง(德宏Déhónɡ) สิบสองปันนา (西双版纳Xīshuānɡ bǎn nà) ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยส่วนใหญ่ของชนชาวไต ถึงสมัยหมิงมีการจัดการให้ชาวไตถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินทำกิน อันเป็นจุดสำคัญในการรวมชนเผ่าไตเข้ามาอยู่ในการปกครองของจีน ในสมัยราชวงศ์ชิงการปกครองชนเผ่าไตไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก คงยึดถือตามแบบการปกครองของราชวงศ์หมิง แต่มีการยึดที่ดินที่มีการพัฒนาแล้วของชาวไตกลับคืนเป็นของรัฐ โดยการส่งขุนนางเข้าไปในพื้นที่จัดการรวบรวมที่ดิน ในสมัยกว๋อหมินตั่งก่อตั้งเขตการปกครองในบริเวณชายแดนของชนเผ่าไต ขูดรีดประชาชน สร้างความทุกข์ยากให้กับชาวไตเป็นอย่างมาก
หลังการก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนชาวไตก่อตั้งเขตปกครองตนเองตามเมืองต่างๆดังนี้
1. ปี 1953 ก่อตั้งบริเวณปกครองตนเองชนเผ่าไตที่สิบสองปันนา และในปี 1955 ยกระดับ
เป็นเขตปกครองตนเองชนเผ่าไตที่สิบสองปันนา(西双版纳傣族自治州 Xīshuānɡbǎnnà Dǎi Zú zìzhìzhōu)
2. ปี 1953 ชุมชนชาวไตที่เมืองเต๋อหงก่อตั้งเป็นบริเวณปกครองตนเอง และยกฐานะเป็น
เขตปกครองตนเองเมืองเต๋อหง (德宏傣族景颇族自治州Déhónɡ Dǎi Zú Jǐnɡpō Zú zìzhìzhōu) ในปี1956
ที่ดินแบบศักดินามาเป็นแบบสังคมนิยม ทำให้ระบบสังคมเศรษฐกิจและวัฒนธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่และมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ระยะเวลา 40 ปี นับตั้งแต่การก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นต้นมา เกิดการพัฒนาในเรื่องการชลประทาน อันเป็นพื้นฐานหลักในการพัฒนาการเกษตรของชุมชน รัฐบาลสนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตเกี่ยวกับเครื่องจักรกล และอาหาร โดยเฉพาะ “ชาผูเอ่อร์” (普洱茶Pǔěr chá) เป็นชาที่ปลูกโดยชาวไตที่มีชื่อเสียงระบือไกลไปทั่วโลก มีการทดลองปลูกต้นยางพาราในเขตสิบสองปันนาได้สำเร็จสร้างความเจริญทางเศรษฐกิจและรายได้ให้กับชาวไตอย่างมหาศาล มีการทำเหมืองแร่ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล ไฟฟ้า เคมี เครื่องปั้นดินเผา หนัง กระดาษ เกลือ ชา อาหารสำเร็จรูป น้ำตาล ยาง โรงงานอุตสาหกรรมที่นู่เจียง สิบสองปันนาและเต๋อหงก็ถือเป็นโรงงานอุตสาหกรรมระดับแนวหน้าของมณฑลยูนนาน จำนวนการผลิตก็เติบโตขึ้นมาโดยตลอด และเพื่อรองรับการเจริญเติบโตของภาคอุตสาหกรรม รัฐบาลได้สนับสนุนให้มีการสร้างสถานีกำเนิดไฟฟ้าขึ้นที่สิบสองปันนาอีกด้วย เมื่อความเจริญเข้ามา การเติบโตทางภาคอุตสาหกรรมรุดหน้า สิ่งจำเป็นอีกอย่างหนึ่งคือการจราจร รัฐบาลทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อระบบคมนาคมที่สมบูรณ์สู่ดินแดนชาวไต ไม่ว่าจะเป็นถนนหลวง สนามบิน การศึกษาก็ได้รับการพัฒนาตามไปด้วย มีการก่อสร้างโรงเรียนตั้งแต่ระดับประถมถึงขั้นอุดมศึกษา โดยใช้ภาษาไตเป็นหลัก มีสถานีวิทยุภาษาไต หนังสือเอกสารตำราทั้งหลายได้รับการแปลเป็นภาษาไตใช้อย่างกว้างขวาง
มีเรื่องเล่าของชาวไต เกี่ยวกับตำนานของขลุ่ยน้ำเต้าว่า
“นานมาแล้ว เกิดเหตุน้ำป่าทะลักไหลบ่า เด็กหนุ่มชาวไตคนหนึ่งเกาะน้ำเต้าลอยคอฝ่าคลื่นยักษ์ไปช่วยคนรักของตน ความรักอันบริสุทธิ์ยังความประทับใจกับเทพคีตา จึงบันดาลให้พายุน้ำป่าสงบลง หมู่ผกาเบ่งบาน นกยูงรำแพน อวยพรอันประเสริฐแด่คู่รักทั้งสอง นับแต่นั้นมา น้ำเต้าจึงสืบทอดในเชื้อสายชาวไตเรื่อยมา”
นอกจากนี้งานฝีมือด้านการแกะสลัก การวาดภาพที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวก็สะท้อนวิถีชีวิตชาวไตได้อย่างงดงาม ด้านสถาปัตยกรรมแพไม้ไผ่ที่ล่องลอยไปตามสายน้ำ ก็เป็นสถาปัตยกรรมที่ลอยไปอวดโฉมให้ชนเผ่าอื่นชื่นชมความงดงามและภูมิปัญญาของชนเผ่าไตตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
ประเพณีงานศพของชาวไตใช้วิธีการฝังศพ สุสานฝังศพของผู้มีสถานภาพทางสังคมสูงจะแยกออกจากผู้มีสถานภาพทางสังคมต่ำอย่างเคร่งครัด ส่วนศพพระ นักบวชจะทำพิธีศพด้วยการเผา แล้วเก็บอัฐิบรรจุในเจดีย์กระเบื้องเก็บไว้ที่วัด
ด้านอาหารการกินของชาวไต ชาวไตที่เต๋อหงกินข้าวเจ้าเป็นอาหารหลัก ส่วนชาวไตที่สิบสองปันนาชอบกินข้าวเหนียว ชอบดื่มเหล้าและกินอาหารรสเผ็ด ชอบกินเนื้อปลากุ้ง และชอบเคี้ยวหมาก บ้านเรือนของชาวไตสร้างด้วยไม้ อยู่บนพื้นที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ สร้างเป็นสองชั้น ส่วนชาวไตที่เมืองเต๋อหงสร้างบ้านด้วยอิฐ และดิน ชั้นเดียว และนิยมสร้างบ้านสี่หลังในรั้วเดียวกัน
การนับถือศาสนาและความเชื่อของชาวไตมีความสัมพันธ์สอดคล้องกับการพัฒนาการของระบบเศรษฐกิจและสังคม ในอดีตชาวไตบริเวณชายแดนนับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ในขณะเดียวกันยังนับถือผีและวิญญาณอันเป็นการนับถือที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ตามชนบทชาวไตสร้างวัดพุทธน้อยใหญ่มากมาย โดยเฉพาะที่สิบสองปันนา เด็กชายอายุครบเกณฑ์ต้องบวชเณร ชายอายุครบพรรษาบวชต้องบวชพระ เพื่อเรียนรู้พระธรรม ดังนั้นเทศกาล งานประเพณีต่างๆของชาวไตล้วนมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ เทศกาลที่สำคัญได้แก่ เทศกาลกวานเหมินเจี๋ย (关门节Guānménjié) “เทศกาลปิดประตู” เทศกาลคายเหมินเจี๋ย(开门节Kāiménjié) “เทศกาลเปิดประตู” เทศกาลโพสุ่ยเจี๋ย (泼水节Pōshuǐjié) “เทศกาลสงกรานต์” เป็นต้น เทศกาลกวานเหมินเจี๋ย คือ เทศกาลเข้าพรรษา จัดขึ้นในกลางเดือนมิถุนายน ส่วนเทศกาลคายเหมินเจี๋ย คือ เทศกาลออกพรรษา จัดขึ้นในกลางเดือนกันยายน นับตั้งแต่เทศกาลเข้าพรรษาถึงเทศกาลออกพรรษาเป็นระยะเวลาสามเดือน ชาวไตจะเข้าพรรษา ถือศีล เข้าวัด ไหว้พระฟังธรรม จนออกพรรษาจึงจะกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เทศกาลสงกรานต์เป็นเทศกาลขึ้นปีใหม่ของชาวไต ในเทศกาลนี้ชาวไตจะสรงน้ำพระ เล่นสาดน้ำสงกรานต์ แข่งเรืออย่างสนุกสนาน ถือเป็นเทศกาลที่มีความสำคัญมากของชาวไต
เขียนโดย รองศาสตราจารย์ ดร.เมชฌ สอดส่องกฤษ
阿昌族เผ่าอาชาง
布依族 เผ่าปู้อี (ปูเยย)
德昂族 เผ่าเต๋ออ๋าง
鄂伦春族 เผ่าเอ้อหลุนชุน
仡佬族 เผ่าเกอลาว
回族 เผ่าหุย
柯尔克孜族 เผ่าเคอร์กิส
珞巴族 เผ่าลั่วปา
蒙古族 เผ่ามองโกล
怒族 เผ่านู่
畲族 เผ่าเซอ
土族 เผ่าถู่
乌兹别克族 เผ่าอุสเบค
水族 เผ่าสุ่ย
锡伯族 เผ่าซีโป๋
瑶族 เผ่าเหยา
白族 เผ่าป๋าย
朝鲜族 เผ่าเฉาเสี่ยน
侗族 เผ่าต้ง
俄罗斯族 เผ่ารัสเซีย
哈尼族 เผ่าฮานี
基诺族 เผ่าจีนั่ว
拉祜族 เผ่าลาหู่ (ชาวมูเซอ)
满族 เผ่าหม่าน
苗族 เผ่าเหมียว
普米族 เผ่าผูหมี่
土家族 เผ่าถู่เจีย
彝族 เผ่าอี๋
保安族 เผ่าป่าวอาน
达斡尔族 เผ่าต๋าโว่ร์
东乡族 เผ่าตงเซียง
鄂温克族 เผ่าเอ้อเวินเค่อ
哈萨克族 เผ่าคาซัค
京族 เผ่าจิง
黎族 เผ่าหลี
毛南族 เผ่าเหมาหนาน
仫佬族 เผ่ามู่หล่าว
羌族 เผ่าเชียง
塔吉克族 เผ่าทาจิค
佤族 เผ่าว้า
布朗族 เผ่าปลัง
傣族 เผ่าไต
独龙族 เผ่าตรุง
高山族เผ่าเกาซาน
赫哲族 เผ่าเฮ่อเจ๋อ
景颇族 เผ่าจิ่งโพ
傈僳族 เผ่าลี่ซู
门巴族 เผ่าเหมินปา
纳西族 เผ่าน่าซี
撤拉族 เผ่าซาลาร์
塔塔尔族 เผ่าทาทาร์
维吾尔族 เผ่าอุยกูร์
裕固族 เผ่ายวี่กูร์
藏族 เผ่าทิเบต
壮族 เผ่าจ้วง